กล้องที่ใช้ในระบบ
Machine Vision โดยทั่วไปจะมีอยู่ 2 รูปแบบ คือ Area
Scan camera และ Line Scan Camera โดยมีรูปแบบการใช้ประโยชน์ที่แตกต่างกันกล่าวคือ
กล้องแบบ Area scan จะนิยมใช้กับงานทั่ว ๆ
ไปที่ทำการจับภาพทีละภาพ ส่วนกล้องแบบ Line scan จะนิยมใช้กับงานที่ต้องการความเร็วสูงและมีขนาดของชิ้นงานที่ใหญ่กว่ามาก
โดยมากจะใช้กับงานที่เป็นลักษณะ on the fly ทั้งนี้จะขอกล่าวถึงกล้องแบบ
Area scan
สิ่งแรกที่ต้องคำนึงถึงในการเลือกใช้งานกล้อง Area scan สำหรับ Machine Vision คือความเร็วชัตเตอร์
(frame rate) ซึ่งจะต้องมีค่ามากกว่าจำนวนชิ้นงานที่ต้องการตรวจสอบ
ถัดมาคือความละเอียดของกล้องที่ต้องการซึ่งสามารถเลือกได้โดย
โดยที่
Field of view คือ ขนาดของวัตถุที่ต้องการจะตรวจจับ (เลือกขนาดด้านยาว) และ resolution
คือ ขนาดของวัตถุที่เล็กที่สุดที่ต้องการมองเห็น
เมื่อได้กล้องมาแล้วสิ่งสำคัญอีกสิ่งหนึ่งที่จะต้องเลือกคือเลนส์
ซึ่งเลนส์ที่มีขายอยู่ในท้องตลาดมีมากมายหลากหลายชนิดซึ่งอาจแบ่งออกได้คร่าว ๆ
เป็น เลนส์พื้นฐาน เลนส์มาโคร เลนส์ซูม และเลนส์แบบเทเลเซนทริก สำหรับเลสน์พื้นฐานนั้นจะใช้กับงานที่ไม่เฉพาะเจาะจงมากนัก
ขนาดของชิ้นงานไม่เล็กมากซึ่งเราสามารถคำนวนความยาวโฟกัสของเลนส์ที่จะเลือกใช้งานได้จากสมการแสงที่เรียนกันมาสมัยมัธยมต้นคือ
โดยที่
WD คือ
ระยะทำงานหรือระยะตั้งแต่หน้าเลนส์จนถึงวัตถุของเรา และ Sensor size ให้ใช้ขนาดด้านยาวเช่นเดียวกับ FOV ทั้งนี้เราจำเป็นจะต้องรู้ขนาดตัวรับภาพของกล้องต่าง
ๆ ซึ่งจะบอกไว้ใน spec ของกล้องนั้น ๆ
โดยส่วนมากจะบอกขนาดของเส้นทแยงมุมมีหน่วยเป็นนิ้ว
ซึ่งสามารถเทียบขนาดได้ตามรูป
สำหรับเลนส์มาโครจะเป็นเลนส์ที่เหมาะกับงานตรวจสอบวัตถุขนาดเล็กมาก ๆ ซึ่งต้องการกำลังขยายที่สูงซึ่งหากใช้เลนส์พื้นฐานภาพที่ได้จะมีความผิดเพี้ยนค่อนข้างมากโดยเลนส์มาโครจะเลือกใช้งานตามกำลังขยายที่เราต้องการ และเลนส์แบบเทเลเซนทริก เป็นเลนส์ที่ให้ภาพที่ไม่มีความบิดเบี้ยวน้อยที่สุด

สาเหตุที่ภาพบิดเบี้ยวไปเนื่องจากเลนส์ที่เราใช้งานมีความโค้งดังนั้นจากทฤษฎีของแสงที่เราเรียนกันตอนมัธยมต้นจะอธิบายได้ว่าแสงที่ผ่านมายังเลนส์ซึ่งไม่ใช่แสงขนานจะเกิดการหักเหที่ผิดเพี้ยนไป







